เรียนพิเศษดีอย่างไร?

เรียนพิเศษดีอย่างไร? การเรียนพิเศษแตกต่างจากการเรียนในโรงเรียนหรือไม่? ผู้ปกครองหลายๆท่านอาจกำลังคิดอยู่ว่าเราจำเป็นต้องให้ลูกเรียนพิเศษด้วยหรือ การเรียนในโรงเรียนก็น่าจะเพียงพอแล้วหรือไม่ จะเป็นการบังคับลูกหลานให้เรียนมากจนเกินไปหรือเปล่า

1. เพื่อการสอบเข้า/สอบแข่งขัน

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ยุคนี้การศึกษาเต็มไปด้วยการแข่งขันที่สูงขึ้นมาก ไม่ว่าจะเป็นการสอบเข้าในระดับมหาวิทยาลัย มัธยม ประถม หรือแม้กระทั่งระดับอนุบาล ด้วยอัตราการแข่งขันที่สูงขึ้น สิ่งที่ตามมาคือข้อสอบที่ใช้ในการสอบเข้ามักจะยากขึ้นด้วย โดยเฉพาะข้อสอบสอบเข้าในระดับมหาวิทยาลัย ที่มักจะมีเนื้อหาที่เกินกว่าระดับชั้นมัธยมปลาย ซึ่งการเรียนพิเศษเพื่อเตรียมสอบเข้า ติวเตอร์จะจัดเตรียมเนื้อหาและแบบทดสอบที่ใกล้เคียงกับข้อสอบสอบเข้า ทำให้ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจในเนื้อหาที่จะต้องเจอในข้อสอบ และประสบความสำเร็จในการสอบเข้าสถานศึกษาและสาขาที่ตนเองคาดหวังไว้

2. สไตล์การเรียนที่แตกต่างกัน

ฝาแฝดที่หน้าตาเหมือนกัน ยังมีนิสัยที่ไม่เหมือนกันได้ สไตล์การเรียนก็เช่นกัน แต่ละคนมักจะมีสไตล์ในการเรียนที่แตกต่างกัน บางคนที่เก่งอยู่แล้ว อาจจะสามารถอ่านหนังสือทบทวนเนื้อหาที่ตนเองเรียนได้เอง แต่บางคนที่ไม่เก่งมาก อาจจะไม่สามารถอ่านทบทวนเนื้อหาได้อย่างเข้าใจ หรือไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร แต่จะสามารถเรียนรู้ได้หากมีผู้อื่นช่วยสอนหรือทบทวนเนื้อหา อย่างไรก็ตามการเรียนในโรงเรียนมักจะไม่ได้ปรับรูปแบบการสอนตามผู้เรียน แต่เป็นการสอนตามแบบที่ถูกกำหนดกรอบเอาไว้ ทำให้ไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร แต่การเรียนพิเศษกับทางสถาบัน ผู้สอนจะปรับรูปแบบการสอนตามผู้เรียน และหากผู้ปกครองท่านใดกังวลว่าลูกหลานของท่านอาจมีสไตล์การเรียนที่ไม่เหมือนคนอื่น สามารถขอจัดเวลาเป็นคอร์สเรียนส่วนตัว ซึ่งผู้เรียนสามารถขอปรับรูปแบบการสอนได้ตามสไตล์ของตนเอง เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพในการสอนที่สูงที่สุด

3. เสริมสร้างความมั่นใจให้ตนเอง

เคยไหมที่รู้สึกว่าตนเองไม่มั่นใจในการสอบเข้า/สอบแข่งขัน ทั้งๆที่ได้เกรดเฉลี่ยดีในโรงเรียนแต่กลับมีความรู้สึกไม่มั่นใจที่จะต้องแข่งขันกับเพื่อนต่างโรงเรียน ต้องยอมรับว่าโรงเรียนที่มีชื่อเสียงมักจะมีมาตรฐานการเรียนการสอนที่สูงกว่าโรงเรียนทั่วไป เนื่องจากชื่อเสียงของโรงเรียนมักจะดึงดูดทั้งครูอาจารย์ที่มีความสามารถสูงและนักเรียนที่เก่งเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งอาจทำให้นักเรียนที่ได้เกรด 4.00 ของโรงเรียนหนึ่ง อาจทำข้อสอบได้คะแนนน้อยกว่านักเรียนที่ได้เกรด 3.50 ของอีกโรงเรียนหนึ่งก็ได้ แต่ผู้ปกครองและน้องๆอย่าได้น้อยใจไปว่าโรงเรียนที่เรียนอยู่อาจไม่ได้เป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงและจะทำให้ไม่สามารถแข่งขันกับโรงเรียนอื่นๆได้ เพราะน้องๆสามารถเสริมความรู้และความมั่นใจได้ด้วยการเรียนพิเศษเพิ่มเติมกับสถาบันที่มีมาตรฐาน ซึ่งจะปรับฐานให้น้องๆมีความรู้ ความสามารถเทียบเท่าโรงเรียนที่มีชื่อเสียง และสามารถสอบเข้า/สอบแข่งขันกับนักเรียนจากโรงเรียนอื่นได้อย่างมั่นใจ

4. รู้จักการบริหารเวลา

การเรียนพิเศษจะทำให้น้องๆรู้จักการบริหารเวลามากขึ้น เนื่องจากน้องๆมักจะมีตารางเรียนในวันจันทร์-ศุกร์อยู่แล้ว การเสริมตารางเรียนพิเศษเข้าไปในวันเสาร์-อาทิตย์ จะทำให้น้องๆสามารถใช้เวลาว่างให้มีประโยชน์มากขึ้น (แต่ไม่ใช่การให้น้องๆเรียนพิเศษเสาร์-อาทิตย์ทั้งวันจนไม่มีเวลาพักผ่อนนะคะ) เป็นการเสริมสร้างการจัดสรรเวลาตั้งแต่เด็ก ทำให้เมื่อน้องๆโตขึ้นไปในระดับมหาวิทยาลัย น้องๆจะสามารถจัดสรรเวลาว่างจากการเรียนมาทำกิจกรรมหรือทบทวนเนื้อหาบทเรียนได้ (การเรียนมหาวิทยาลัยไม่ได้เรียนเต็มวัน จันทร์-ศุกร์ เหมือนการเรียนในโรงเรียน ดังนั้นน้องๆจำเป็นต้องจัดสรรเวลาในการเรียนและทำกิจกรรมเอง)

5. ได้แนวข้อสอบ

น้องๆที่ตัดสินใจได้แล้วว่าจะสอบเข้าเรียนต่อที่โรงเรียน/มหาวิทยาลัยไหนแล้ว ทางติวเตอร์ก็จะสามารถจัดเตรียมเนื้อหาการสอนรวมถึงแบบทดสอบที่มีเนื้อหาใกล้เคียงกับข้อสอบที่น้องๆจะต้องเจอ ซึ่งจะทำให้การเตรียมสอบเข้าของน้องๆมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าการอ่านทบทวนบทเรียนทั่วๆไป

6. ได้เทคนิคการแก้โจทย์ปัญหาและการทำข้อสอบ

การเรียนในห้องเรียน ครูหรืออาจารย์มักจะสอนวิธีทำโจทย์ปัญหาแบบพื้นฐานที่สามารถปรับไปใช้ได้กับการแก้โจทย์ปัญหาหลายๆอย่าง อย่างไรก็ตามวิธีการแก้โจทย์แบบพื้นฐานนั้น มักเป็นวิธีที่ไม่มีประสิทธิภาพ ใช้เวลาในการแก้โจทย์มากเกินไป ซึ่งจะทำให้น้องๆไม่สามารถทำข้อสอบได้ทันเวลา การเรียนพิเศษกับทางสถาบัน ติวเตอร์จะแนะนำวิธีการแก้โจทย์ปัญหา การวิเคราะห์โจทย์ รวมถึงวิธีการแก้โจทย์ปัญหาที่มีประสิทธิภาพที่สุด เพื่อให้น้องๆสามารถทำข้อสอบได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยยังคงความถูกต้องของคำตอบเอาไว้